
เผยชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจถูกจับตาจากกล้อง CCTV
จากเหตุการณ์ 9/11 จนถึงวางระเบิดการแข่งกันวิ่งมาราธอนในเมืองบอสตัน ผลสำรวจล่าสุดแสดงให้เห็นว่าทัศนคติของชาวอเมริกันส่วนใหญ่นั้นเปลี่ยนไปแล้วอนุญาตให้ติดตั้งกล้องรักษาความปลอดภัย และสนับสนุนโปรแกรมปฏิบัติการเฝ้าระวังในเชิงรุกมากขึ้น
โดยผลสำรวจล่าสุดของ Pew บอกว่าคนส่วนใหญ่กว่า 56 เปอร์เซ็นต์ ที่มีส่วนร่วมตอบคำถามเชื่อว่ารัฐบาลนั้นมุ่งเน้นในการสืบสวนการก่อการร้ายมากกว่าสอดส่องดูชีวิตส่วนตัวของพวกเค้า และบอกพวกเค้าคิดว่ารัฐบาลสอดส่องดูอย่างอื่นมากกว่า อย่างเช่นคนต่างชาติ ผู้นำต่างชาติ หรือแม้แต่ผู้นำอเมริกา
และ 60 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่ามีการมอนิเตอร์การติดต่อสื่อสารทั้งผู้นำอเมริกาและผู้นำต่างประเทศ ดังที่เป็นข่าวที่ผ่านมา ว่ามีข้อมูลหลักฐานรั่วไหลเผยให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐนั้นดักฟังโทรศัพท์นายกรัฐมนตรีเยอรมัน นาง อังเกลา แมร์เคิล (Angela Merkel) และสมาชิกสภาผู้แทนปัจจุบัน โดยข้อมูลนี้ถูกเผยแพร่จากสื่อรัฐบาลในทันที รัฐบาลเยอรมันจึงมีการสืบสวนว่ามีการดักฟังอย่างไร เนื่องจากเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและละเมิดเกินกว่าจะยอมรับได้
และแม้ว่าชาวอเมริกันจะไม่ชอบที่รัฐบาลนั้นสอดแนมพลเมือง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจกล้องรักษาความปลอดภัยมากนัก โดยผลสำรวจที่ออกมาจำนวนกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ที่บอกว่าไม่ค่อยเป็นห่วงหรือไม่เป็นกังวลเลย แม้ว่ารัฐบาลจะสอดแนมเข้าไปยังอีเมล์หรือประวัติการค้นหาบนอินเตอร์เน็ต
และหากลองพิจารณาดูทางเทคนิคว่าคนอเมริกันนับล้านคน จะต้องมีเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ (NSA) กี่คนกันถึงจะสามารถสอดส่องได้ทั้งหมด ซึ่งพวกเค้าเชื่อว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่ ไม่ใช่เป้าหมาย
สิ่งที่ผู้ตอบแบบสอบถามบอกกับ Pew ว่าพวกเค้าคิดอย่างไร
- พลเมืองที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่มีอะไรแบบซ่อนก็ไม่ควรกังวล
- ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด เชิญมาสอดแนมได้ทั้งหมดเท่าที่พวกเค้าต้องการ
- มันเป็นราคาเล็กน้อยที่ต้องจ่ายในการทะนุบำรุงสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยจากการก่อการร้าย
แต่แน่นอนมีชาวอเมริกันส่วนหนึ่งที่เป็นห่วงกับระบบรักษาความปลอดภัย และมีส่วนน้อยที่ปฏิเสธไม่ยอมรับมาตรการเหล่านี้เลย และกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ นั้นบอกว่าพวกเค้าใช้โซเชียลมีเดียหรืออินเตอร์เน็ตน้อยมาก และ 14 เปอร์เซ็นต์ เลือกที่จะพูดคุยกันต่อหน้ามากกว่าการหารือผ่านอินเตอร์เน็ต
ที่มา: psmag